จะวาง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมนะ ฟังธรรมเพื่อปลอบขวัญ ปลุกปลอบหัวใจของตนให้อาจหาญให้รื่นเริง ให้รื่นเริงในทางจงกรมน่ะ
เราบวชใหม่ๆ เราก็เป็นอย่างนี้ จับเวลาเลย วันหนึ่ง ๘ ชั่วโมง ต้องเดินจงกรมให้ได้ ๘ ชั่วโมง ถ้าต่ำกว่า ๘ ชั่วโมงถือว่าทุจริตต่อหน้าที่ เพราะอะไร เพราะทางโลกเขานะ เขาทำงานกันวันละ ๘ ชั่วโมง ไอ้เรา เราบวชมาแล้วเราทำงานน้อยกว่าเขาได้อย่างไร
ดูชาวไร่ชาวนาสิ หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน เวลาแล้ง ภัยแล้งขึ้นมาก็ไม่เก็บเกี่ยวไม่ได้ น้ำท่วมก็เก็บเกี่ยวไม่ได้ กู้หนี้นอกระบบใช้จ่าย ถึงเวลาเขาตามทวงถาม เราไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปสู้หน้าเขาได้อย่างไร ต้องหลบหนี นี่คือความทุกข์ของเขาไง นี่ความทุกข์ของโลกเขานะ
เวลาคนปากกัดตีนถีบเขาต้องพยายามขวนขวายให้ชีวิตของเขา เราบวชเรียนมาแล้วไง เราบวชเรียนมาแล้วไม่ทุจริตต่อหน้าที่ แต่ถ้ามันจะทุจริตต่อหน้าที่คือมันหงอยมันเหงา มันไม่อาจหาญไม่รื่นเริง ไม่กล้าเผชิญกับทางจงกรมไง
ทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา สู้กับมันสิ มันจะดีดดิ้นขนาดไหนก็สู้กับมันๆ ถ้าเรามีกำลังใจนะ ถ้าสู้กับมันได้ขึ้นมา เวลาจะสู้มองไปอย่างนี้ หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดินเขาทุกข์ยากขนาดไหน เขาเก็บหอมรอบริบได้สิ่งใดมา เวลาเขาทำบุญตักบาตรของเขา เขาถวายสิ่งที่ดีๆ แด่ภิกษุสงฆ์ ภิกษุสงฆ์ทำภัตกิจของเขาแล้ว เราจะทำหน้าที่ของเราหรือไม่ ถ้าเราทำหน้าที่ของเรา เราพยายามฝืนทนของเรา เราทำมาอย่างนี้ไง เราทำของเรามานะ
เวลามาภาวนาเริ่มต้นขึ้นมาทุกข์ยาก เราเกิดมาเห็นภัยในวัฏสงสาร เราทุกข์เรายากเราถึงบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วเราเริ่มต้นจะประพฤติปฏิบัติ เวลามาบวชเป็นพระจริงๆ ทำไมกำลังใจมันไปไหนหมด ความมุ่งมั่นมันไปไหนหมด ทำไมมันท้อแท้ๆ
เวลาเป็นฆราวาสขึ้นมา เห็นพระบวชขึ้นมาแล้ว โอ้โฮ! ถ้าเราบวชเป็นพระนะ เราจะขยันขันแข็ง เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะสู้ของเราเต็มที่เลย เราหวังมรรคหวังผลเลย เวลาบวชมาแล้วทำไมมันหงอยเหงาอย่างนี้ ทำไมมันไม่สู้ล่ะ
ถ้าเราสู้ของเรา เห็นไหม จะวาง จะวางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราจะวาง เราจะละ เราจะทิ้งมันไป จะวาง จะละ จะทิ้งมันไป
แล้วเอาอะไรไปวาง ไปละ ไปทิ้งล่ะ
เวลาเราก็คิดของเราไง เราเห็น เห็นไหม เหมือนนิทาน นิทานชาดก นิทานชาดกมันก็เป็นเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นอะไร จะทำสิ่งใด เป็นนิทาน เป็นนิทานมันยังมีเนื้อหาสาระนะ ยังมีรสมีชาติ
ไอ้ของเรา เวลาเรานึกเราคิดของเราขึ้นมาเหมือนนิทาน นวนิยายจะแต่งอย่างไรก็ได้ จะทำอย่างไรก็ได้ แต่เอาจริงเอาจังขึ้นมาทำไมมันท้อแท้ล่ะ
จะวาง จะวางอะไร แล้วถ้าจะวาง เราจะวางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราต้องมีความขยันหมั่นเพียรของเรา ความขยันหมั่นเพียรไปทำความขี้เกียจขี้คร้าน เวลาขี้เกียจขี้คร้านขึ้นมา เห็นไหม
งานอะไรก็ทำได้ทางโลก ด้วยอะไร ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อยากหวังผลตอบแทน เวลาทำธุรกิจการค้าการขายทุ่มเทเต็มที่ ทุ่มเททั้งนั้นน่ะ ทุ่มเทเพราะอะไร เพราะมันได้เงินได้ทอง ทำหน้าที่การงานก็ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ มันเห็นผลไง มันขวนมันขวาย มันเหงื่อไหลไคลย้อย หัวปั่นเลยนะ หัวเป็นน็อต ตัวเป็นเกลียว ที่ทำจนหัวปั่นอยู่อย่างนั้นน่ะ ทำงานทั้งวันๆๆ ทำงานเพื่อผลประสบความสำเร็จไง มันมีแรงกระตุ้นน่ะ
แต่เวลาเราบวชมาแล้วเราจะนั่งสมาธิภาวนาของเรา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทำไมมันขี้เกียจขี้คร้าน
ถ้ามันขี้เกียจขี้คร้านขึ้นมาก็คิดไง ปัญญาเท่านั้นที่จะเอาตัวเรารอดได้ เราต้องนึกคิดขึ้นมา เราต้องวิตกวิจารณ์ขึ้นมาสติด้วยปัญญาของเรา ด้วยสติปัญญาของเรานะ
เวลาสิ่งที่เรานึกคิดขึ้นมาเองมันเป็นสมบัติของเรา มันไปเผชิญภัยที่ไหนมันก็แก้ไขได้ใช่ไหม อยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็คอยขนาบนั่นน่ะ คอยขนาบขึ้นมาเพื่ออะไร ให้เราระวังภัยๆ ไง
เวลาหลวงตาท่านสอนไง ตบมือไว้ ตบมือไว้ตลอด มันจะไปหยิบจับฟืนจับไฟไง ความรู้สึกนึกคิดมันจะไปจับๆๆ ครูบาอาจารย์คอยตบๆๆ เพราะครูบาอาจารย์ท่านคอยระมัดระวังให้
แต่ถ้ามันเป็นจริงในความรู้สึกนึกคิดของเราขึ้นมาเอง ถ้าเรารู้สึกนึกคิดของเราเองขึ้นมา เห็นไหม มองไปสิ หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ภัยแล้งขึ้นมาก็เก็บเกี่ยวไม่ได้ น้ำท่วมน้ำหลากขึ้นมา นั่งคอตกเลย กู้หนี้ยืมสินมาเพื่อมาทำการเกษตร แล้วถึงที่สุดแล้วมันก็เกิดน้ำท่วมน้ำหลาก มันเก็บเกี่ยวไม่ได้เลย แล้วดอกก็ทบไปเรื่อย มันมีความทุกข์ความยากนะ ความทุกข์ความยากมหาศาลเลย นี่เขาก็จนตรอกของเขา เขาก็ยังขวนขวายของเขา
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราบวชเป็นพระๆ ขึ้นมาไง จะละจะวาง จะวางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วจะไปวางกันที่ไหน จะเอาที่ไหนมาวาง ทางจงกรมก็ไม่มีกิเลส คนเดิน คนเดินกิเลสเต็มหัวใจ แล้วจะละจะวาง จะไปวางที่ทางจงกรมนั่งสมาธิภาวนานะ นั่นมันเป็นกิริยา แต่จริงๆ แล้วเขาละที่หัวใจของตน ถ้าจะละที่หัวใจของตนนะ ละอะไร
ละความขี้เกียจขี้คร้านก่อน เวลาขี้เกียจขี้คร้านขึ้นมา มันขยันหมั่นเพียรขึ้นมานะ มันมีความขยันมีความหมั่นเพียรขึ้นมา มันมีความวิริยอุตสาหะ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาจะได้มากได้น้อยก็แล้วแต่ มันก็ยังภูมิใจไง
เดินจนเหงื่อไหลไคลย้อยนะ วันไหนก็แล้วแต่ไปโดนกระทบรุนแรงขึ้นมา มันยึดมั่น มันกอดรัดฟัดเหวี่ยงในหัวใจ สู้มันไม่ได้ เข้าทางจงกรมเลย เดินน่ะ เดินจงกรม เดินจงกรมจนเหงื่อไหลไคลย้อยนะ พอสติปัญญามันเท่าทันนะ เฮ้อ! เบานะ วางหมดไง
จะวาง จะวางไอ้ความยึดมั่นถือมั่นในใจของตนน่ะ มันยึดมั่นถือมั่นนะว่าฉันยิ่งใหญ่ ฉันถูกต้อง ฉันดีงาม คนอื่นผิดหมด แล้วเวลามันกระเทือนใจ มันกระทบกระเทือนขึ้นมา มันเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในใจนะ แล้วจะแก้อย่างไร จะไปแก้ที่ไหนก็แก้ไม่ได้
แล้วยิ่งจะประชุมสงฆ์ๆ ประชุมสงฆ์ก็เถียงกันปากเปียกปากแฉะเลย แต่เข้าทางจงกรม เดินจงกรมอย่างกับวิ่งเลย วิ่งไปวิ่งมาๆ จนกว่าสติมันจะเท่าทันแล้ว มันช้าลงได้ๆ แล้วช้าลงได้มันก็เริ่มภูมิใจนะ เฮ้อ! ถ้าเมื่อกี้เชื่อมันนะ แหลกหมด แหลกทั้งสองฝ่าย แล้วไม่มีใครได้ผลประโยชน์อะไรเลย มีแต่ความกระทบกระทั่งกัน มีแต่ความผูกพันกัน
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่นี่กระทบกระเทือนกันไปแล้วมันมีเวรมีกรรมนะ มันผูกพันกันไป มันมีเวรมีกรรมต่อเนื่องกันไป แต่พอเท่าทันมันแล้วนะ เฮ้อ! วาง
จะวาง จะวางนะ เราจะวางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราจะวาง มันจะไปวางที่ไหน
เวลาพูดนะ กิเลสเป็นอย่างไร จะทำอย่างไรให้ละกิเลสไปได้
มันไม่เหมือนไอ้ทางโลกไง ถ้าทำให้มันจบสิ้นไปๆ ก็จบไง แต่กิเลสมันไม่ยอมให้จบไง ทำแล้วทำเล่าๆ ถึงตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าไง ซ้ำแล้วซ้ำเล่านะ เวลามันสงบระงับแล้วเดี๋ยวก็คลายออกมา
เวลาสงบขึ้นมาแล้วมันก็มีความสุขอยู่พักหนึ่ง เวลาคลายออกมา มาแล้ว โอ้โฮ! มันมีแต่ความเร่าร้อนทั้งสิ้น แล้วมีแต่ความเร่าร้อนทั้งสิ้น แล้วทำอย่างไรให้มันสงบระงับเข้ามาๆ คราวต่อไปกิเลสมันรู้เท่ารู้ทันแล้ว มันพลิกมันแพลงขึ้นมามันยิ่งยากขึ้นไปเรื่อย
การปฏิบัติเริ่มต้นขึ้นมา คนที่ยังทำไม่ได้ขึ้นมา พยายามขวนขวายขึ้นมามันก็ทำเป็นตามข้อเท็จจริงขึ้นมามันก็จะเป็นผลขึ้นมา
เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติแล้วเคยได้แล้ว กิเลสมันรู้ทันแล้ว ต่อไปนะ ยาก ๒ เท่า ๓ เท่า เห็นไหม สัญญานี่ตัวร้ายเลยล่ะ สัญญาความจำได้หมายรู้ว่าเราเคยทำได้อย่างนั้น ได้อย่างนี้ แล้วเราก็จะทำให้มันเป็นอย่างนั้นน่ะ กิเลสมันนั่งหัวเราะเยาะเลย หลวงตาท่านด่าซ้ำด้วย เดินจงกรมโง่อย่างกับหมาตาย
เวลาเราเดินกรม เวลาคิดว่าตัวเองมีสติปัญญามาก เป็นผู้ที่ฉลาดเลอเลิศ แต่เวลากิเลสมันพลิกมันแพลง ไม่เท่าทันมันนะ
เวลาเดินจงกรมโง่อย่างกับหมาตาย เวลาเรื่องของกิเลสนะ แหม! เก่งนัก นี่ว่าจะวางมันไง วางมันหรือให้มันขี่คอ ถ้าจะละจะวางให้ได้มันจะต้องมีสติปัญญาเท่าทัน
ไม่มี ๑ ถ้ามีครั้งแรกก็มีครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔ มันจะฝืน มันจะอยากขนาดไหน มันจะเป็นจะตายอย่างไร สู้กับมัน พอสู้กับมันจนเหงื่อไหลไคลย้อย
คนไม่เห็นไง คนไม่เห็นว่าทำงานอะไร พระบวชมาทำอะไร เห็นเดินไปเดินมาน่ะ นั่งสมาธิภาวนา เดินไปเดินมา โอ๋ย! ไม่เห็นทำอะไรเลย
ไม่ทำอะไร เอาชนะตนเองให้ได้ เอาชนะหัวใจของตัวให้ได้ ถ้าเอาชนะหัวใจของตัวได้ เฮ้อ! แล้วภูมิใจ เวลาภูมิใจ สมณสารูป มันเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง ถ้ามันชนะตัวเองได้แต่ละคราวไปนะ จะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ คราวไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสละราชวังออกมา แล้วเวลาไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ปัญจวัคคีย์ ๖ ปี อุปัฏฐากอุปถัมภ์อยู่อย่างนั้นน่ะ ทุกข์ยากลำบากมาขนาดไหน กว่าจะเอาชนะได้แต่ละคราวๆ ชนะทิฏฐิมานะของตนนั่นแหละ
ละวางไม่ได้ มีแต่ฟืนแต่ไฟทั้งสิ้น ละวางได้เป็นครั้งเป็นคราวๆ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งเป็นคราว ระลึกถึงบุญคุณนะ นี่ไง ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธก็มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางธรรมวินัยนี้ไว้ๆ เป็นศาสดาของเธอ
คนที่มีอำนาจวาสนาเขาเคารพบูชาของเขา เขาเคารพบูชาของเขาเพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีศาสดา มีธรรมวินัยเป็นศาสดา เขาทำตามนั้นๆ เราก็เป็นมนุษย์มีพ่อมีแม่เหมือนกัน เห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระ มีอุปัชฌาย์อาจารย์เหมือนกัน
เวลามีอุปัชฌาย์อาจารย์เหมือนกัน อุปัชฌาย์ท่านก็ยกเข้าหมู่แล้ว เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็อาศัยหมู่ เป็นหมู่เป็นคณะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาจิตใจมันละมันวางของมันได้นะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
เวลาจิตมันสงบระงับเข้ามา ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคราวๆ ไปนะ มันซาบซึ้ง มันซาบซึ้งเห็นบุญเห็นคุณไง ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา เกิดมาแล้วมันก็เป็นผลของวัฏฏะๆ เชื่อตามๆ กันไป ก็จูงมือกันไป จะไปตกระหกระเหินอย่างไรมันก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของสัตว์
แต่เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ไม่เชื่อใครทั้งสิ้นๆ แล้วเวลาจะฉลาดก็ต้องฉลาดขึ้นมาในใจของเรา
ใจของเรามันเชื่อใคร
กาลามสูตร ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังครูบาอาจารย์ที่ท่านคอยชี้แนะ แล้วยังไม่เชื่อๆ ถึงเชื่อก็ไม่ได้ผล ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ไง เวลาปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา นี่ไง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อจากผลการประพฤติปฏิบัติ เชื่อจากสติปัญญาที่สามารถละวางได้ เชื่อหัวใจนี้ หัวใจนี้ พุทธะๆ ที่หัวใจนี้
ทุกคนยิ่งใหญ่นักๆ ยิ่งใหญ่นักแล้วทำไมไม่เห็นใจของตน ทำไมเอาใจของตนไว้ไม่ได้ ใจของตนทำไมเอาไว้ไม่ได้ เอาไว้ไม่ได้เพราะอะไรล่ะ นี่ไง ก็มีแต่จากนิยายไง เป็นนิยาย เป็นความรู้สึกนึกคิด แต่ไม่เป็นความจริง
ถ้าเป็นความจริง สติ สติจริงๆ สมาธิ สมาธิจริงๆ มันสงบ สงบกันจริงๆ แล้วก็เป็นหัวใจจริงๆ ด้วย หัวใจเป็นจริง พุทธะแท้ๆ แล้วจะไปที่ไหน
เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดเลย จะไปอินเดีย จะไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไง ท่านบอกเลยนะ ในหัวใจของตนพุทธะแท้ๆ เอาที่นี่ๆ ถ้ามันได้ที่นี่ขึ้นมาแล้ว พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วจิตมันสงบระงับเข้ามานี่ละได้
เราจะวางนะ เราจะวางเราจะต้องรู้จักสถานที่ รู้จักจิตของตน รู้จักศีล สมาธิ ปัญญา เวลามันรู้จักๆ รู้จักที่ไหน รู้จักอ่านหนังสือใช่ไหม รู้จักจากค้นคว้ามาใช่ไหม รู้จักแต่จำจากครูบาอาจารย์มาใช่ไหม แต่นั่นน่ะ สัญญาทั้งสิ้น
เวลามันเป็นขึ้นมามันเป็นเพราะเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมา นี่ของจริง สติเป็นสติก็เท่าทันหมดเลย เอ็งอย่ามาหลอกข้า ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เอ็งอย่ามาล่อมาลวง รู้ทันหมดน่ะ นี่สติมันดี ถ้าคำบริกรรมมันดี มันละเอียดเข้า พอละเอียดเข้านะ เดินจงกรมก็ภูมิใจ นั่งสมาธิก็พอใจว่าจะนั่ง
แต่จิตมันเสื่อมแล้วนะ เดินจงกรม จิตไปสู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีแต่ร่างกายเปล่าๆ เดินอยู่นี่ หัวใจไปไหนก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว รากฐาน ภวาสวะก็อยู่ในใจเรานี่แหละ เพราะเราเดินจงกรมอยู่เป็นสิ่งมีชีวิต
เราก็เป็นสิ่งที่มีชีวิตนะ เดินจงกรมอยู่นี่ จิตก็อยู่กับเรานี่แหละ แต่มันส่งออก ส่งออกไปร้อยแปดพันเก้า ไปในอวกาศ ไปในวัฏฏะ ไปทั่วหมดเลย เห็นไหม เหลือแต่ซาก เหลือซากไว้เดินจงกรมไง
เวลาเดินจงกรม เราเสียดสีเขาประจำ ไอ้หุ่นยนต์ๆ สร้างหุ่นยนต์ไว้ตัวหนึ่งให้มันเดินแทนเราได้ไหม หุ่นยนต์มันก็เป็นแค่แร่ธาตุ มันก็ไม่มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน
นี่เหมือนกัน แต่เราเป็นคน ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นพระด้วย เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จิตมันอยู่กับเราหรือเปล่า นี่ไง ถ้าสติปัญญาพร้อมนะ อยู่ชัดเจน พอสติปัญญารู้เท่าทันชัดเจนแล้วมันละวาง จะวางแล้ว จะวางสัญญาอารมณ์นั้นให้มันเป็นอิสระเป็นตัวของมันเอง
พอมันเป็นอิสระเป็นตัวของมันเอง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันรู้ในตัวของมันชัดเจนมาก พอมันรู้ในตัวเองชัดเจนมาก มันเกิดธรรมสังเวชไง สังเวชถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลส กราบแล้วกราบเล่า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความซาบซึ้งบุญคุณอันนั้น
ถ้าคนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ถึงรัตนตรัยแล้วนะ มันซาบซึ้งถึงบุญถึงคุณอันนั้น ทั้งๆ ที่ว่า ๒,๐๐๐ กว่าปี ใครเป็นคนสร้างไว้ ใครเป็นคนทำไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ทำไว้ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้วยังระลึกถึงบุญถึงคุณของท่าน
แล้วเวลาผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จะเป็นภพชาติใด เราได้สร้างบุญสร้างกรรมของเรามา เราได้สร้างคุณงามความดีของเรามา ถ้าเราไม่ได้สร้างคุณงามความดีของเรามานะ ในหัวใจเรามันจะฟุ้งซ่านมากกว่านี้ ในหัวใจมันไม่เชื่อ
คนที่มันไม่เชื่อเรื่องพระพุทธศาสนา คนที่มันย่ำยี เพราะอะไรล่ะ หัวใจของมันทั้งสิ้น ถ้าหัวใจของมัน ถ้ามันมีเวรมีกรรมต่อกัน ในหัวใจสร้างแต่ความเป็นสิ่งเลวร้ายทั้งสิ้น
แต่ถ้าเป็นคนที่มีอำนาจวาสนา เราจะละจะวาง แล้วเราจะละจะวาง คนที่ศึกษา ศึกษาจากพระไตรปิฎก แต่เราจะละเราจะวางเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เราจะละจะวางที่ความรู้สึกอันนี้ เราจะละเราจะวางที่หัวใจนี้
แล้วถ้าหัวใจมันละมันวางได้ มันเด่นชัดขึ้นมา พุทธะ แล้วพุทธะนี้เป็นของเราด้วย ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานของเรามันเด่นชัดขึ้นมา มันเด่นชัดขึ้นมาจากศรัทธาจากความเชื่อของเรานี่แหละ จากบุญจากกุศลของเรา จากการกระทำของเรา
จะวางๆ จะให้หัวใจวาง อารมณ์ที่มันทุกข์มันยาก อารมณ์ที่มันแผดมันเผา วาง วางมันลง พอวางมันลงมันก็เป็นอิสระของมัน จิตเห็นอาการของจิต
วางแล้ววางอะไร พอวางแล้วเดี๋ยวมันก็กลับมาอีก
เวลาทำสมาธิได้ เดี๋ยวเจริญแล้วก็เสื่อม เสื่อมแล้วก็เจริญ เวลาเจริญขึ้นมา “โอ๋ย! นิพพานเป็นอย่างนี้เอง”
ไม่ใช่ ไม่ใช่นิพพานหรอก นิพพานมันต้องมีเหตุมีผลของมัน ธรรมทั้งหลายต้องมาแต่เหตุ มันจะมีเหตุมีผลของมันถ้ามันสงบระงับแล้วถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ถ้ามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงนะ อันนั้นถึงจะเป็นวิปัสสนา วิปัสสนาการรู้แจ้งในใจของตน เวลารู้แจ้งก็รู้แจ้งในใจอันนั้นน่ะ
แล้วในใจนั้นมันรู้แจ้งอะไร มันแค่มีสติปัญญา มันแค่วางๆๆ มันแค่ละและแค่วางสัญญาอารมณ์ของตนเท่านั้น
ถ้ามันละมันวางสัญญาอารมณ์ของตน ถ้าคนที่มีสติปัญญา จิตเห็นอาการของจิต เวลาจิตเห็นอาการของจิต คนที่รู้มันเห็นแตกต่างกัน
เวลาเราทำความสงบของใจกว่ามันจะสงบระงับเข้ามา ดูสิ พวกชาวไร่ชาวนาเขาหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน เขาตรากตรำของเขา เขาทำของเขาเพื่อเมล็ดข้าว เพื่อเศรษฐกิจของเขา เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็เพื่อหัวใจของเราๆ ถ้ามันได้หัวใจขึ้นมา เห็นไหม
คนที่เขาทำไร่ไถนาของเขา หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ถ้าเขาได้พืชผลของเขา เขาก็เอาไปขายได้เงินได้สิ่งตอบแทนนั้นมา จิตสงบแล้วๆ ถ้าเราทำความสงบใจเข้ามา เราวางๆ วางสัญญาอารมณ์ จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตเห็นอาการของจิต มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันได้ผลมา ผลิตผลจากสัมมาสมาธิไง ยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนารู้แจ้ง
ชาวไร่ชาวนาเขาเอาพืชผลของเขาไปแลกเป็นเงินเป็นทองมา ของเรา เราเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เราใช้สติปัญญาของเราเอาความรู้แจ้งในใจของเรามา ถ้าเอาความรู้แจ้งในใจของเรามา มันรู้แจ้งในใจของตน วิปัสสนาไปปัญญามันเกิดขึ้น มันแตกต่างกันไหม
ทำไร่ทำนานะ กว่าจะได้พืชผลทางการเกษตรมาเกือบเป็นเกือบตาย แล้วเอาไปขายให้เขาโกงอีก โกงทั้งความชื้น โกงทั้งตาชั่ง แล้วพอขายเสร็จแล้ว พืชผลไปแล้วไม่ได้ตังค์ อย่างนั้นหรือ
นี่ก็เหมือนกัน ทำความสงบของใจเข้ามาแล้ว ใจสงบระงับเข้ามา จะวางๆ จะวางก็วางสัญญาอารมณ์ของเราก่อน พอวางสัญญาอารมณ์ของเราแล้วนะ ถ้ามีสติมีปัญญา ถ้ามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง มันตะลึงอึ้งเลย โอ๊ะ! คาดไม่ถึงหรอก คาดไม่ได้
เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราคาดหมายไว้หมดน่ะ มันจะเป็นอย่างนั้นๆๆ เวลาไปเจอเข้ามันไม่เป็นอย่างที่คิดสักอย่าง มันเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง คาดไม่ถึง เข็มขัดมันสั้น คาดไม่ถึงหรอก คาดไม่ได้ รูมันไม่มี คาดไม่ถึงๆ คาดไม่ถึงแต่รู้แจ้งไง คาดไม่ถึงแต่รู้เองไง รู้เองในหัวใจไง
นี่จะวางๆ จะวางอะไร เอ็งเคยเห็นกิเลสหรือ เอ็งรู้จักกิเลสของเอ็งหรือ
นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วแสดงขึ้นมา ปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เวลาแสดงพระสารีบุตรนะ แสดงพระโมคคัลลานะ เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด
ละวางอะไร ก็ละวางกิเลสในใจของแต่ละคนๆ ไปนั้นไง พอละวางกิเลสในใจของแต่ละคนๆ นั้นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้พยากรณ์ ยอมรับทั้งสิ้น
แล้วเอ็งจะละอะไร เอ็งจะวางอะไร เอ็งรู้อะไร เอ็งเห็นอะไร จะวางอะไร ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเลย โม้ปากเปียกปากแฉะ ไอ้ที่พูดมาน่ะ โธ่! เอาหนังสือมาอ่านที่ไหนมันก็ได้ เอาหนังสือมาอ่าน
นี่ไง เวลาสังคายนาครั้งที่ ๒ ถึงได้จดจารึกกันมา จดจารึกกันมาแต่ครั้งโบราณขึ้นมา คัมภีร์ขึ้นมามันต้องมีที่เก็บที่เคารพบูชา กราบไหว้บูชากันเลยล่ะ เพราะอะไร เพราะอ่านไม่ออก อ่านไม่ออก อ่านไม่ได้ ตีความไม่เป็น
เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา เอาจริงเอาจังขึ้นมามันก็เป็นขึ้นมาในหัวใจนั่นน่ะ เวลาเป็นขึ้นมาในหัวใจขึ้นมา มันเข้ากันได้กับคัมภีร์อันนั้นเลย เพราะคัมภีร์อันนั้นมันก็ต่อเนื่องเข้ามาเพื่อในใจอันนั้น ถ้าเพื่อในใจอันนั้น พอใจมันเป็นคัมภีร์เสียเอง พระไตรปิฎกในแล้ว พระไตรปิฎกนอกเอาไว้ศึกษาให้ลูกหลานเยาวชนชาวพุทธเราได้ศึกษา
เยาวชนชาวพุทธเราศึกษาค้นคว้าขึ้นมา ศึกษาค้นคว้าขึ้นมามันก็เป็นสัญญาอารมณ์ เป็นความจำทั้งสิ้น นี่ปริยัติ
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ปริยัติก็ศึกษาเล่าเรียนมาเพื่อให้แนวทางในการปฏิบัติ เพื่อให้ปฏิบัติไปแล้วไม่ให้กิเลสมันหลอก กิเลสมันหลอกขึ้นไปมันก็เป็นศาสดาองค์ใหม่นั่นน่ะ เป็นศาสดาอีกองค์หนึ่งเลย เวลาที่มันหลงใหลไปแล้ว พระพุทธเจ้ามึงกับพระพุทธกูคนละองค์แล้วกันล่ะ
พระพุทธเจ้ากูอ่อนน้อมถ่อมตน พระพุทธเจ้ากูเรียบง่าย เป็นพระธรรมดานี่แหละ เป็นพระที่บิณฑบาตเลี้ยงชีพนี่แหละ นี่พระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของของเรากับของพวกเอ็งคนละองค์ ไม่เกี่ยวกัน เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เรียบง่าย สอนให้มักน้อยสันโดษ ไม่ได้สอนให้ยิ่งใหญ่อหังการ ให้เหยียบหัวคน ไม่มี ไม่มี ไอ้ที่ยิ่งใหญ่เหยียบหัวคนนั่นน่ะเทวทัต
ฉะนั้น พระไตรปิฎกนอก เวลาศึกษายังเป็นอย่างนั้นเลย เวลาศึกษาไปแล้วกิเลสมันไปยึดไง รู้มาก เก่งมาก ยิ่งทิฏฐิมานะสูงจรดฟ้า ยิ่งเรียนมากยิ่งปัญญามาก ยิ่งยิ่งใหญ่มาก ยิ่งเหยียบย่ำเขามาก
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ ถ้ายิ่งใหญ่ เอ็งก็ต้องเอาตัวเองอยู่ในทางจงกรมสิ ถ้ายิ่งใหญ่ เอ็งก็ต้องเอาจิตเอ็งเป็นสมาธิได้สิ ถ้ายิ่งใหญ่ขึ้นมา เอ็งต้องรู้จริงรู้แจ้งสิ ถ้ารู้แจ้ง รู้แจ้งจบเลย
เป็นพระธรรมดา เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วซาบซึ้งในบุญคุณอันนั้น แล้วไม่มีอะไรแซงหน้าแซงหลัง ไม่มีสิ่งใดที่อหังการ ไม่มี การอหังการนั้นไร้สาระหมดเลย เพราะมันเป็นแรงขับดันของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก
แต่ถ้าเป็นแรงของธรรมะนะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเทศนาว่าการ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ชาวไร่ชาวนาเขายิ้มแย้มแจ่มใส หนึ่ง น้ำใช้น้ำฉันก็มี น้ำการเกษตรก็มี น้ำจะใช้ทำความสะอาดก็เยอะแยะไป ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ไปหมด
นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมๆ ขึ้นมา ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล มันเป็นสัจจะเป็นความจริงไง มันไม่ใช่การอหังการไปเหยียบย่ำใคร นี่มันเป็นเรื่องเรียบง่าย เป็นเรื่องเรียบง่ายเพราะเป็นเรื่องการดำรงชีพไง เป็นเรื่องชีวิตไง เป็นเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของความเป็นอยู่ไง มันไม่ยิ่งใหญ่ไปไหนเลย เป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เรียบง่ายอย่างนั้น
ฉะนั้น จะวาง จะวางแล้วนะ เราพยายามเข้ามาที่ใจของเรา ไม่ใช่วางสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราได้บวชมาเป็นพระ อยู่ในร่มเงาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใต้ร่มของพุทธะ มีประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ เขาใส่บาตร เขาทำบุญกุศลของเขา เราบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งแล้วเราพยายามขวนขวายของเรา
ปลุกปลอบหัวใจเราขึ้นมา ปลุกปลอบหัวใจเราขึ้นมาให้มันรื่นเริงให้มันอาจหาญ ให้ยิ้มแย้มแจ่มใสกับทางจงกรม เห็นทางจงกรม ที่นั่งสมาธิแล้ว เออ! ทำได้ สบายๆ
ไม่ใช่เห็นทางจงกรมแล้วสะดุ้งเลย อีกแล้วหรือ ไม่อยากหันหน้าเข้ามาเลย ไม่อยากหันหน้าเข้าหาทางจงกรม ไม่อยากหันหน้าที่ใต้โคนต้นไม้เรือนว่าง เบื่อหน่ายเต็มที นี่ไง เป็นอย่างนั่นหรือ
ให้ปลุกปลอบหัวใจของเราขึ้นมา ให้เห็นที่โคนไม้ เรือนว่างเป็นที่น่ารื่นเริง สงบสงัด เสียงจิ้งหรีด เสียงแมลงต่างๆ โอ๋ย! มันวิเวก มันวิเวกนะ ไม่ใช่มันวังเวงว้าเหว่ ไม่ใช่
วิเวก รื่นเริง ไม่ใช่ โอ๋ย! เหงาหงอย ไม่ใช่ แตกต่าง
ไอ้เหงาหงอยนั่นน่ะกิเลสมันแลบออกมาแล้วล่ะ แต่ถ้ามันเป็นความรื่นเริงนะ โอ๋ย! สิ่งที่ยิ่งสงบสงัด
เวลาหลวงตาท่านพูดไง อยู่คนเดียวนะ เสียงหัวใจมันเต้นตุบตับๆๆ
หัวใจเต้น ฟังเสียงหัวใจเต้น ฟังเสียงความสงบระงับ ฟังเสียงสงบสงัดอันนั้น มีความรื่นเริง มีความสุขของเรา นี่ความแท้จริง ธรรมะเป็นธรรมชาติแท้ๆ ธรรมชาติแท้ๆ ที่ไม่ได้ปรุงไม่ได้แต่ง แล้วจิตใจเรารื่นเริงอาจหาญ อยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่คนเดียวก็ได้ มีความสุขของเรา ถ้ามันจะละจะวาง มันมีความรู้สึกอย่างนี้ มีความรู้สึกรื่นเริงอาจหาญ รื่นเริงนะ แล้วเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาไปด้วยความสุขความสงบไง
จะละจะวางมันต้องมีสภาวะแวดล้อมที่ดีงาม แล้วเราจะละจะวาง แล้วสภาวะแวดล้อมที่ดีงาม เราเป็นผู้สร้างขึ้นมา เราเป็นผู้สร้างด้วยสติด้วยปัญญาของเรา
มลภาวะของโลก โลกร้อน ผู้ใหญ่เขาเห็นแต่ผลประโยชน์ ผู้ใหญ่เขาเห็นแต่เรื่องเศรษฐกิจ ตอนนี้เด็กๆ ทั้งนั้นเลยที่ออกมาเดินขบวนต่อต้าน บอกว่าต้องการสภาวะแวดล้อมที่ดีเพื่ออนาคตของเขา ไม่ใช่ให้ผู้ใหญ่มาแย่งชิงกันด้วยระบบธุรกิจ แล้วทิ้งแต่สภาวะแวดล้อมที่เลวทรามไว้ให้กับชนรุ่นหลัง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจของเรามีสติมีปัญญา มันจะรักษาสภาวะแวดล้อมในใจของตน สภาวะแวดล้อมที่สงบสงัด อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นพระธรรมดาๆ เป็นสิ่งที่สงบสงัด แล้วเราภูมิใจในความเป็นพระธรรมดาๆ เรานี่ เรียบง่าย
ไอ้หัวโขนนะ นี่ไง มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศไง โลกธรรม ๘ ไง นั่นโมฆบุรุษตายเพราะลาภ โมฆบุรุษแย่งชิงแสวงหาหัวโขนเพื่อความยิ่งใหญ่ของตน แล้วได้สิ่งใดมา ได้สิ่งใดมา
มันได้แต่ความรับผิดชอบ ถ้าเป็นพระที่ดีนะ ถ้าเป็นพระที่ดี แล้วความรับผิดชอบเพื่อสภาวะแวดล้อมให้อนุชนรุ่นหลังได้เดินแนวทางนั้นต่อไป ถ้าเป็นพระที่ดี
ถ้าเป็นพระที่เลว เที่ยวขูดรีด เที่ยวทำลายเขา ให้พระผู้น้อยได้เห็นตัวอย่างที่เลวทราม ตัวอย่างที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง
เราไม่มองอย่างนั้น เรามองมาที่ในใจของเรา เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธามีความเชื่อได้มาบวช บวชแล้วได้ออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะรักษาสภาวะแวดล้อมของเราด้วยสติด้วยปัญญาของเรา สิ่งใดที่มันสงบสงัด สิ่งใดที่ดีงามขึ้นมา เราแสวงหาสิ่งนั้นๆ นี่ไง เป็นสภาวะแวดล้อมที่เป็นสัปปายะ
แล้วถ้าจิตใจที่มันดีงาม จิตใจมันจะละมันวางขึ้นมา มันชื่นชม อาจหาญ กับในสภาวะแวดล้อมที่นั้น แล้วก็หายใจเข้านึกพุธ หายใจออกนึกโธนะ เสียงหัวใจเราเต้นตุบตับๆๆ เลยแหละ
ให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นด้วยหัวใจที่รื่นเริงนะ ไม่ใช่ว่าตุบตับๆ แล้ววิ่งหนีเลยนะ ผีหลอกๆ
ผีหลอกก็ผีในใจนี้ไง
หัวใจมันเต้นตุบตับๆ ผีหลอกๆ
มึงหลอกตัวเองไง ทิ้งรากฐานไง
นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทุกคนต้องแสวงหาหัวใจของตนให้ได้ เราจะละจะวางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราต้องมีหัวใจเป็นผู้ละผู้วาง หัวใจของเรา สัมมาสมาธิ จิตสงบตั้งมั่น ระงับแล้ว ดีงามแล้ว แล้วเราค้นคว้าหากิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วใช้สติปัญญา ภาวนามยปัญญา
ไม่ต้องใช้สัญญา ไม่ต้องใช้เทียบเคียงอะไรทั้งสิ้น พยายามฝึกหัดของตนขึ้นมา วิปัสสนาอ่อนๆ คือการฝึกหัด การฝึกหัด การค้นคว้า การแสวงหา เราก็ฝึกหัดของเราไป เพราะเด็กน้อยมันต้องหัดยืน หัดเดินของมันให้ได้
จิตใจของเรามันต้องตั้งแต่เด็กทารกไร้เดียงสา พยายามค้นคว้าหาหัวใจให้เจอ พอหาหัวใจเจอแล้วนะ ฝึกหัดวิปัสสนา ฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา มันจะเดินได้ วิ่งได้ ยืนได้ พัฒนาตัวเองได้ นี่ไง พระพุทธศาสนาสอนลงที่นี่ไง พระพุทธศาสนา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง ให้ดวงใจทุกๆ ดวงใจเป็นผู้ที่สลัดสะบัดกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนนั้นออกไป
ถ้ามันสะบัดกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนออกไป พุทธะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมันจะแวววาวขึ้นมากลางหัวใจของเรา แล้วถ้ามันแวววาวขึ้นมากลางหัวใจแล้ว มันจะเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ล่ะ
สิ่งที่ว่าธรรมะสดๆ ร้อนๆ ศีล สมาธิ ปัญญามันสดๆ ร้อนๆ ต่อผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง ผู้ที่เคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ เพราะเขาได้ลิ้มรสของธรรม เขาได้ลิ้มรส แล้วธรรมอันนี้ ดูหลวงตาท่านระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร” เพราะอะไร
เพราะว่าเวลาเราไปรู้แล้วมันมหัศจรรย์ สติก็มัน แหม! ทำไมสติมันยอดเยี่ยมอย่างนี้ ทำไมเวลามันโกรธ มันรุนแรง ทำไมสติมันยับยั้งได้หมด เอ๊ะ! พุทโธๆๆ มันละเอียดเข้ามาได้อย่างไร ละเอียดแล้ว อู้ฮู! มันแวววาว อู้ฮู! มันเวิ้งว้าง มันมหัศจรรย์ในหัวใจ มันคืออะไร แล้วจะไปถามใคร จะไปถามพระพุทธเจ้าที่ไหน นี่ไง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง
เราฝึกหัดของเรา ถ้าเราฝึกหัดของเรา เราอยู่ที่ไหนก็ได้ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าใจมันเป็นธรรมขึ้นมาๆ มันรื่นเริง มันอาจหาญ เห็นทางจงกรมเป็นที่เคารพบูชานะ
ดูสิ เวลาหลวงตาท่านเล่า เวลาครูบาอาจารย์ท่านไปสิ้นกิเลสที่ไหน ท่านต้องละจากที่นั่นไป มันอาลัยอาวรณ์เห็นบุญเห็นคุณไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่โคนต้นโพธิ์ หลวงปู่มั่นนี่โคนกระบก อยู่ที่ไหน ไปนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ใด โคนต้นไม้นั้นมีบุญมีคุณกับเรา เราไปอยู่ที่เรือนว่างที่ไหน เรือนว่างนั้นจะมีบุญมีคุณกับเรา เราเคยบิณฑบาตฉันที่ไหน ญาติโยมเขาเคยมีอาหารตกบาตรใส่บาตรของเรา มันระลึกได้ ระลึกได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันเป็นคุณงามความดี
มันไม่ต้องเอาคุณงามความดียิ่งใหญ่มาจากไหนหรอก เอาคุณงามความดีที่ความเป็นอยู่ร่วมกันนี่แหละ แล้วคุณงามความดีที่อยู่ร่วมกัน มันระลึกถึงกัน นี่ไง สังฆะ
เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ด้วยกันทั้งสิ้น แล้วมาบวชเป็นพระ มีอุปัชฌาย์อาจารย์เหมือนกัน แล้วมีธรรมวินัยเป็นองค์เดียวกัน มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เราเป็นชาวพุทธไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรามีพระรัตนตรัยเป็นเครื่องอยู่อาศัย เรามีหัวใจที่เบิกบานของเรา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จะวาง จะละ จะวาง จะสิ้นกิเลสไป เราต้องทำให้เป็นสัจจะเป็นความจริงของเรา เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก
ความลับไม่มีในโลก ใครจะชื่นชมขนาดไหนเรื่องของเขา แต่หัวใจของเราสำคัญกว่า เวลาทุกข์ เราทุกข์ของเราคนเดียวนะ นั่งอยู่คนเดียวน้ำตาไหลพราก มีแต่ความเจ็บช้ำ แล้วเวลาที่มันสุขมันสงบมันระงับขึ้นมา ไม่มีบ้างเลยหรือ
เวลาไปที่ไหนโดนเขาเหยียดหยามดูถูกดูแคลน แล้วศากยบุตรพุทธชิโนรสเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คนเขาชี้หน้า ให้คนเขาสบประมาทอยู่อย่างนั้นหรือ
เราต้องทำของเราขึ้นมาให้มันเป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงในใจของเราขึ้นมา ไม่แคร์ใดๆ ทั้งสิ้นเลยในสามโลกธาตุ ไร้สาระ หัวใจเรายิ่งใหญ่ ถ้าเขาเห็นผิดโดยทิฏฐิมานะของเขาก็กรรมของสัตว์ เราไม่มีสิ่งใดที่จะไปต่อล้อต่อเถียงใครทั้งสิ้น
ถึงเวลาถ้าถึงเวลาของเขา เขารู้ของเขา นั่นถึงเวลาของเขา ถ้าเขาคิดได้ ถ้าเขาคิดไม่ได้ก็กรรมของสัตว์ ไร้สาระ ผลของวัฏฏะ ใครยิ่งใหญ่ที่จะควบคุมได้
ดูน้ำท่วมสิ น้ำท่วม เวลาภัยแล้ง เวลาน้ำหลาก ใครควบคุมมันได้ แล้วใครจะควบคุมกระแสน้ำให้ไปทิศทางเดียวกัน เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวหิมะละลายหมด ดูน้ำทะเลสูงขึ้นอีกเป็นเมตร แล้วใครจะไปควบคุมมัน
ใครควบคุมใครไม่ได้ทั้งสิ้น ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกนะ ในหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นจริงๆ มันเป็นจริงที่นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา
แต่ถ้ามันไม่มีขึ้นมา ละไม่ได้ วางไม่ได้ มีแต่กิเลสสุมอยู่ในใจ เห็นทางจงกรม โอ้โฮ! วิ่งหนีเลย เห็นที่นั่งสมาธิภาวนานี่แหยงไปหมดเลย เป็นอย่างนั้นหรือ
ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น เห็นทางจงกรม เห็นที่นั่งสมาธิภาวนา มันต้องรื่นเริงอาจหาญสิ มันเป็นที่มันจะฝึกหัดพุทธะขึ้นมา มันจะปลุกปลอบเราขึ้นมา มันจะเป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเราทำของเราขึ้นมาได้ นี่ศากยบุตร
เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราบวชมาเป็นพระ เราเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ชอบอยู่ในที่สงบสงัด ชอบอยู่ในที่ไม่เกลื่อนกล่นใดๆ ทั้งสิ้น แล้วเราฝึกหัดหัวใจของเราขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงในใจนี้ แล้วมันจะเป็นผู้วางได้จริงๆ จะวาง จะละ จะแก้กิเลส มันต้องมีสถานที่กระทำตามความเป็นจริงขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติ เพื่อความเป็นจริงของเรา เอวัง